
ประวัติเมือง ขอนแก่น โดยสังเขป
อนุสาวรีย์พระนครศรีบริรักษ์เพี้ยเมืองแพน เพี้ยเมืองแพน(หรือพระยาเมือง แพน) นั้นเป็นเชื้อสายเจ้าจากทางเวียงจันทร์ได้อพยพเข้ามาตั้งรกรากที่ บ้านชีโหล่น ในเขตเมืองสุวรรณภูมิ(อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ดปัจจุบัน) สืบย้อนจากสาเหตุ เมื่อปี พ.ศ. 2322 ขณะนั้นพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเมืองเวียงจันทน์ได้เกิดเหตุพิพาทกับกลุ่มของเจ้าพระวอจนถึงกับยกทัพไปตีค่ายของเจ้าพระวอแตกที่บ้านดอนมดแดง (อุบลราชธานีปัจจุบัน) และจับเจ้าพระวอประหารชีวิต สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงถือว่าฝ่ายเจ้าพระวอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของไทยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพขึ้นไปตีเวียงจันทน์ จนแตกพ่ายและได้ขึ้นตรงต่อสยาม
ครั้นต่อมาอีกราว 9 ปี ในปี พ.ศ. 2331 เพี้ยเมืองแพนก็ได้พาราษฎรและไพร่พลประมาณ 330 คน ขอแยกตัวออกจากเมืองสุวรรณภูมิไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ฝั่งบึงบอน ยกขึ้นเป็นเมืองที่บ้านดอนพยอมเมืองเพี้ย (ปัจจุบันคือ บ้านเมืองเพี้ย ตำบลเมืองเพี้ย อำเภอบ้านไผ่) และขอขึ้นตรงเจ้าพระยานครราชสีมา แล้วใน พ.ศ 2339 เจ้าพระยานครราชสีมาได้มีใบบอกมายังกรุงเทพฯ ตรงกับรัชสมัย รัชกาลที่ ๑ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เพี้ยเมืองแพนเป็นพระยานครศรีบริรักษ์ เจ้าเมืองขอนแก่น เป็นต้นมา จากนั้นก็มีการย้ายถิ่นมาเรื่อยจนตั้งอยู่ ณ. ที่ปัจจุบัน

ช่วงบ่ายเดี๋ยวแดด เดี๋ยวร่ม เลยถ่ายออกมาไม่ค่อยมีแสงครับ เดินเล่นแถวๆนั้น ได้เห็นงานจิตกรรมของเด็กนักเรียนบนกำแพงที่เป็นนิทานพื้นบ้านเรื่องสังข์ศิลป์ชัยหรือสังสินไซ ซึ่งก็นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และเป็นนิทานพื้นบ้านที่มาจากลาว ของเดิมเป็นการเขียนแบบร้อยแก้ว ผู้แต่งหนังสือสังข์ศิลป์ชัยเป็นคำกลอน คือ ท้าวปางคำ ใช้สำหรับอ่านฟังในเวลาโศกเศร้า เช่น ในงานศพ (ลาวเรียกว่า งานเฮือนดี) ท้าวปางคำ(สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ไปครองเมืองหนองบัวลำภู)

ท้าวปางคำแต่งหนังสือเรื่องสังข์ศิลป์ชัยในราว พ.ศ. 2192 หนังสือเรื่องนี้มีผู้คัดลอกเขียนใส่ใบลานต่อ ๆ มา มีการพิมพ์ทั้งภาษาลาวและภาษาไทยอย่างกว้างขวาง แล้วมีการพิมพ์ขึ้นครั้งแรกในประเทศลาวเมื่อปี พ.ศ. 2492 นิยมทั้ง เทศก์ และแสดงเป็นหมอลำกลอน

เดินเลียบถนนไปเรื่อยๆก็ถึงศาลเจ้าพ่อมเหสักข์ เจ้าพ่อมเหสักข์ซึ่งก็หมายถึง พระอินทร์ผู้ซึ่งเป็นเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ โดยเชื่อว่า เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองให้ร่มเย็น

จากครรลองปฏิบัติใน ฮีดสิบสอง คองสิบสี่ กล่าวถึง สมบัติคูณเมือง ซึ่งเป็นคองของเจ้าเมืองไว้ 14 ข้อ ในนั้นระบุว่า ต้องมีใจบ้าน(บือบ้าน หรือ สะดือบ้าน) หรือ ศูนย์กลางของบ้านของเมือง ตั้งอยู่ และอีกข้อคือ ต้องมีเมฆเมือง ซึ่งหมายถึง เทพารักษ์ มเหสักข์ นั่นเอง เมื่อความเชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อมเหสักข์เป็นพระอินทร์ตามความเชื่อแบบขอม จึงทำให้สถานที่แห่งนี้สร้างตามสถาปัตยกรรมขอม

บ้านเราความเชื่อหลากหลายมั๊กมาก ก็อาจจะเป็นเพราะการไหล่บ่าของวัฒนธรรมตามยุคตามสมัยในภาคพื้นอุษาคเนย์

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น