วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

เจ้าเมืองขอนแก่น


ประวัติเมือง ขอนแก่น โดยสังเขป

อนุสาวรีย์พระนครศรีบริรักษ์เพี้ยเมืองแพน เพี้ยเมืองแพน(หรือพระยาเมือง แพน) นั้นเป็นเชื้อสายเจ้าจากทางเวียงจันทร์ได้อพยพเข้ามาตั้งรกรากที่ บ้านชีโหล่น ในเขตเมืองสุวรรณภูมิ(อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ดปัจจุบัน) สืบย้อนจากสาเหตุ เมื่อปี พ.ศ. 2322 ขณะนั้นพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเมืองเวียงจันทน์ได้เกิดเหตุพิพาทกับกลุ่มของเจ้าพระวอจนถึงกับยกทัพไปตีค่ายของเจ้าพระวอแตกที่บ้านดอนมดแดง (อุบลราชธานีปัจจุบัน) และจับเจ้าพระวอประหารชีวิต สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงถือว่าฝ่ายเจ้าพระวอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของไทยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพขึ้นไปตีเวียงจันทน์ จนแตกพ่ายและได้ขึ้นตรงต่อสยาม

ครั้นต่อมาอีกราว 9 ปี ในปี พ.ศ. 2331 เพี้ยเมืองแพนก็ได้พาราษฎรและไพร่พลประมาณ 330 คน ขอแยกตัวออกจากเมืองสุวรรณภูมิไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ฝั่งบึงบอน ยกขึ้นเป็นเมืองที่บ้านดอนพยอมเมืองเพี้ย (ปัจจุบันคือ บ้านเมืองเพี้ย ตำบลเมืองเพี้ย อำเภอบ้านไผ่) และขอขึ้นตรงเจ้าพระยานครราชสีมา แล้วใน พ.ศ 2339 เจ้าพระยานครราชสีมาได้มีใบบอกมายังกรุงเทพฯ ตรงกับรัชสมัย รัชกาลที่ ๑ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เพี้ยเมืองแพนเป็นพระยานครศรีบริรักษ์ เจ้าเมืองขอนแก่น เป็นต้นมา จากนั้นก็มีการย้ายถิ่นมาเรื่อยจนตั้งอยู่ ณ. ที่ปัจจุบัน


ช่วงบ่ายเดี๋ยวแดด เดี๋ยวร่ม เลยถ่ายออกมาไม่ค่อยมีแสงครับ เดินเล่นแถวๆนั้น ได้เห็นงานจิตกรรมของเด็กนักเรียนบนกำแพงที่เป็นนิทานพื้นบ้านเรื่องสังข์ศิลป์ชัยหรือสังสินไซ ซึ่งก็นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และเป็นนิทานพื้นบ้านที่มาจากลาว ของเดิมเป็นการเขียนแบบร้อยแก้ว ผู้แต่งหนังสือสังข์ศิลป์ชัยเป็นคำกลอน คือ ท้าวปางคำ ใช้สำหรับอ่านฟังในเวลาโศกเศร้า เช่น ในงานศพ (ลาวเรียกว่า งานเฮือนดี) ท้าวปางคำ(สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ไปครองเมืองหนองบัวลำภู)


ท้าวปางคำแต่งหนังสือเรื่องสังข์ศิลป์ชัยในราว พ.ศ. 2192 หนังสือเรื่องนี้มีผู้คัดลอกเขียนใส่ใบลานต่อ ๆ มา มีการพิมพ์ทั้งภาษาลาวและภาษาไทยอย่างกว้างขวาง แล้วมีการพิมพ์ขึ้นครั้งแรกในประเทศลาวเมื่อปี พ.ศ. 2492 นิยมทั้ง เทศก์ และแสดงเป็นหมอลำกลอน


เดินเลียบถนนไปเรื่อยๆก็ถึงศาลเจ้าพ่อมเหสักข์ เจ้าพ่อมเหสักข์ซึ่งก็หมายถึง พระอินทร์ผู้ซึ่งเป็นเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ โดยเชื่อว่า เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองให้ร่มเย็น


จากครรลองปฏิบัติใน ฮีดสิบสอง คองสิบสี่ กล่าวถึง สมบัติคูณเมือง ซึ่งเป็นคองของเจ้าเมืองไว้ 14 ข้อ ในนั้นระบุว่า ต้องมีใจบ้าน(บือบ้าน หรือ สะดือบ้าน) หรือ ศูนย์กลางของบ้านของเมือง ตั้งอยู่ และอีกข้อคือ ต้องมีเมฆเมือง ซึ่งหมายถึง เทพารักษ์ มเหสักข์ นั่นเอง เมื่อความเชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อมเหสักข์เป็นพระอินทร์ตามความเชื่อแบบขอม จึงทำให้สถานที่แห่งนี้สร้างตามสถาปัตยกรรมขอม


บ้านเราความเชื่อหลากหลายมั๊กมาก ก็อาจจะเป็นเพราะการไหล่บ่าของวัฒนธรรมตามยุคตามสมัยในภาคพื้นอุษาคเนย์




วัดหนองแวง ริมบึง เมืองขอนแก่น

วัดหนองแวง เดิมชื่อวัดเหนือ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2332 พร้อมกับวัดกลาง และวัดธาตุ โดยท้าวเพียเมืองแพน เจ้าเมืองคนแรก ณ บ้านบึงบอน (บึงแก่นนคร) พ.ศ.2354 ท้าวจามมุตร ท้ายเพียเมืองแพน เจ้าเมืองคนที่ 2 ได้ย้ายเมืองไปอยู่บ้านดอนพันชาติ เขตเมืองมหาสารคาม (บ้านโนนเมือง ตำบลแพง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม) บ้านบึงบอนจึงกลายเป็นเมืองเก่าตั้งแต่นั้นมา


บึงแก่นนครอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดยกฐานะขึ้นเป็น พระอารามหลวง ปี พ.ศ. 2527 แบ่งออกเป็น 9 ชั้น วัดเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.


วัดแห่งนี้ก็มีโรงเรียนคับ...คือ โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดหนองแวงวิทยา เมื่อปีที่แล้วก็มีข่าวว่า เณรจากที่นี่ สอบแอดมิชชั่น เข้ามหาลัยติดยกแผง


สัญลักษณ์ขอนแก่น ที่นี่ก็มีครับ ไม่ใช่มีแต่ที่ หน้าสถานีรถไฟนะ


"สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้น และ เสื่อมไปเป็นธรรมดา"


มีมืดต้องมีส่วาง.....หลวงพ่อพุทธทาสท่านกล่าวว่าสุขหาได้ในทุกข์ เราต้องรู้จักหาสุขจากทุกข์ เพราะในทุกข์มีสุขเสมอ สุขกับทุกข์ไม่ได้แยกจากกันอย่างเด็ดขาด เหมือนกับความร้อนกับความหนาว ในความร้อนก็มีความหนาวอยู่ ในความหนาวก็มีความร้อนอยู่ ฉันใดก็ฉันนั้น ในทุกข์ก็มีสุขอยู่ เราต้องมองให้เห็น จะเห็นได้ก็ต้องอาศัยสติ ปัญญา และสมาธิ


ท่านใดสนใจ ติดตามหาอ่านได้ จากหนังสือหาสุขได้จากทุกข์(พระธรรมโกศาจารย์)ซึ่งเขียนโดยท่าน[i]พระพุทธทาส อินทปัญโญ


มนุษย์ เมื่อไม่มีทุกข์ ก็คิดอะไรไม่ได้ อยากทำอะไรก็ทำ บางครั้งไปเบียดเบียนคนอื่นก็ไม่สนใจว่า กำลังทำคนอื่นเขาทุกข์ แต่พอตัวเองทุกข์บ้าง ... กลับวิ่งหาธรรมะ ...เพื่อหาแสงสว่างในชีวิต


อารามหลังใหญ่ประกอบด้วยชั้นทั้งหมด 9 ชั้น ได้แก่ ชั้นที่ 1 มีพระบรมสารีริกธาตุอยู่บนบุษบกตรงกลาง ต้นเสาเขียนลวดลายสีเบญจรงค์ เพดานเขียนภาพเทพพนมปีกค้างคาวดาวล้อมเดือน จตุเทพดารา โดยเฉพาะบานประตูใหญ่แกะสลักเป็น 3 มิติ ชั้นที่ 2 บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์ภาพนิทานเรื่อง สังข์ศิลป์ชัย ชั้นที่3 หอปริยัติ บานประตูหน้าต่างเขียนภาพนิทานเรื่อง นางผมหอม


ชั้นที่ 4 หอปฏิบัติธรรม บานประตูหน้าต่างเขียนภาพพระประจำวัน ชั้นที่ 5 หอพิพิธภัณฑ์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักภาพพุทธประวัติ ชั้นที่ 6 หอพระอุปัชฌายาจารย์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่อง พระเวสสันดร


ชั้นที่ 7 หอพระอรหันตสาวก บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่อง เตมีย์ใบ้ ชั้นที่ 8 หอพระธรรม รวบรวมพระธรรมคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา บานประตูหน้าต่างแกะสลักพรหม 16 ชั้น และชั้นที่ 9 หอพระพุทธ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุตรงกลางบุษบก และยังเป็นชั้นที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองขอนแก่นได้


(คัดมาจาก...หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจออนไลน์ 7 ส.ค. - 09 ส.ค. 2551)
"ทำไมเด็กไทยไม่เข้าวัด ???" ดูเหมือนจะเป็นคำถามคลาสสิกมาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่เรายังเป็นเด็กเคยถูกตั้งคำถามนี้จากผู้ใหญ่รอบตัว จนเรากลายเป็นผู้ใหญ่ เรากลับเป็นคนตั้งคำถามนี้กับเด็กที่อยู่รอบตัวเราเช่นกัน


เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ถามกับน้องวัยรุ่นกลุ่มนี้ว่า "ปกติเข้าวัดหรือไม่ ???" น้องตอบประสานเสียงเป็นหนึ่งเดียวครับว่า "ไม่" พร้อมเหตุผลตามมาว่า "ตื่นไม่ทัน ไปวัดต้องตื่นเช้า" เมื่อถามต่อครับว่า "แล้วเวลาไหนที่ไปวัด" คำตอบเริ่มแตกออกเป็น 2 เสียงครับ เสียงกลุ่มหนึ่งบอกว่า "ไปวัดตอนวันเกิด" เสียงอีกกลุ่มบอกว่า "ไปวัดสะเดาะเคราะห์ดวงไม่ดี"


จากคำตอบของน้องๆ ทำให้พอสรุปได้ว่า เวลาของการไปวัดไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของเด็กวัยรุ่น ที่นิยม "นอนดึก ตื่นสาย" ขณะที่พฤติกรรมการไปวัด "ต้องตื่นเช้า" จึงไม่แปลกครับว่า ทำไม...เด็กไทยไม่เข้าวัด !!! เพราะเขาไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการไปวัดมากกว่าแค่การทำบุญวันเกิดหรือสะเดาะเคราะห์ปัดเป่าความไม่ดีออกจากตัว


สิ่งหนึ่ง สิ่งใดเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งนั้นย่อมมีการแตกดับสูญสลายเป็นธรรมดา....ทุกผู้ทุกนาม...ย่อมหนีสิ่งนี้ไม่พ้น....เหล่านี้เป็นสัจธรรม..ดังเช่นนี้แล


วัดหนองแวงแห่งนี้ ก็เป็นพระอารามหลวงประจำจังหวัดด้วย

วัฒนธรรมเสมาหินตั้ง

วัฒนธรรมเสมาหินตั้ง” ของดีพิพิธภัณฑ์ขอนแก่น



วัฒนธรรมหินตั้งก็คือจุดกำเนิดของเสมาหินในพระพุทธศาสนา ใบเสมามีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมาก ในประเทศไทยสามารถสืบย้อนไปไกลถึงยุคสมัยแรกเริ่มของประวัติศาสตร์ นั่นคือ อารยธรรมทวารวดี เป็นที่รู้ๆกันดีครับ


"เสมา" หรือ "สีมา" หมายถึง เขตกำหนดความพร้อมเพรียงของสงฆ์ หรือเขตชุมนุมของสงฆ์ หรือเขตที่สงฆ์ตกลงไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายที่อยู่ภายในเขตนั้นจะต้องทำสังฆกรรมร่วมกัน


กลุ่มใบเสมาที่บริเวณภาคอีสานนี้พบว่ามีร่องรอยของอารยธรรมทวารวดีที่เผยแพร่มาจากภาคกลางมีความโดดเด่นกว่าภาคอื่น (เรียบเรียงโดย รศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ )


รูปแบบของใบเสมาทั่วไปจะเป็นลักษณะกลีบบัว มีขนาดสูงตั้งแต่ ๑ เมตรไปจนถึง ๒ เมตร รองลงมาได้แก่รูปเสาสี่เหลี่ยมและแปดเหลี่ยม ซึ่งพบเป็นจำนวนน้อยมาก ส่วนคติในการสร้างสันนิษฐานไว้ ๓ ประการ คือ


๑. ใช้ปักใบเดียวกลางลานในฐานะของเจดีย์องค์หนึ่ง ๒. ใช้ปักล้อมรอบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อแสดงขอบเขต ๓. ใช้ปักแปดทิศรอบฐานอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า อาจมีตำแหน่งละ ๑ ใบ ๒ ใบ หรือ ๓ ใบ น่าจะเป็นคติการแสดงขอบเขตสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนสถานลักษณะเดียวกับโบสถ์ในปัจจุบัน


ซึ่งเรื่องราวที่นิยมสร้างขึ้นนั้น มักเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชาดก


ใบเสมาจากเมืองฟ้าแดดสูงยาง อำเภอ กมลาไสย  จังหวัดกาฬสินธุ์  เป็นใบเสมาที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย


แต่ใบเสมาที่สวยที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด นั้นแสดงในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเค้าห้ามถ่ายภาพ ผมเลยต้องถ่ายมาจากโบรชัวร์แทน ภาพตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นฉากที่สำคัญคือพระนางพิมพาสยายผมรองรับพระบาทของพระพุทธเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นท่าแสดงความเคารพอย่างสูงสุด การแสดงความเคารพในลักษณะเช่นนี้ โดยมากพบในศิลปะมอญและพม่า สะท้อนมุมมองการแผ่ขยายความนิยมของศิลปะในประเทศใกล้เคียงในเวลานั้น


การสลักเรื่องราวเกี่ยวกับชาดกและพุทธประวัติไว้บนใบเสมานี้ คงจะมีคติการสร้างเดียวกันกับจิตรกรรมฝาผนัง คือมีความมุ่งหมายที่จะเป็นการให้ความรู้ โดยแฝงวัฒนธรรมการแต่งกาย


รูปแบบเฉพาะของศิลปกรรมในภูมิภาค ทำให้กลุ่มใบเสมาที่ภาคอีสานมีความโดดเด่น มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

"วัฒนธรรมหินตั้ง" เป็นการสร้างปริมณฑล เพื่อพิธีกรรม มีให้เห็น เช่น สโตนเฮนจ์ ที่เมืองซอลลิสเบอรี่ ทางตอนใต้ของอังกฤษ ,วัฒนธรรมโมอาย ของหมู่เกาะอีสเตอร์ ในประเทศชิลี หรืออีกที่ก็ใกล้บ้านเราก็ ทุ่งไหหิน ที่เมืองโพนสะหวัน ลาวเหนือ โดยต่างก็เชื่อว่ามาจากความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า เป็นสถานที่ที่ติดต่อกับอำนาจเหนือธรรมชาติ


พิพิธภัณฑ์ขอนแก่น เปิดให้บริการ ตั้งแต่ 9 โมง จนถึง สี่โมงเย็น สำหรับ คนไทยก็ค่าบำรุงค่าบัตรเข้าชม 20 บาท ปิด จันทร์ - อังคาร และ วันหยุดราชการครับ


จะมีการจัดแสดงเรื่องราวท้องถิ่นอิสานเหนือ ทั้งทางด้าน ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี วัฒนธรรมพื้นบ้าน ทั้งในอาคาร และนอกอาคาร ว่างๆก็มาเที่ยวกันครับ